วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โปรแกรมเมอ

ถามตัวเองก่อนครับ ว่าจะเป็นไปทำไม ทำมาหากินได้ไหม เลี้ยงตัวเองได้เหรือเปล่า มั่นคงหรือไม่ career path คืออะไร



อย่าคิดเพียงเพราะทำได้ เลยอยากทำ หรือเก่งเลยอยากเป็น

จากการสำรวจ พบว่าในไทย เมื่อปี 2545 มีคนจบสายคอมฯ แล้วเรียกตนเองว่าโปรแกรมเมอร์กว่า 70,000 คน

แต่ถามว่าปัจจุงันเค้าอยู่ตรงไหนในสังคม หรือแวดวงการทำงาน ก็ไม่รู้ครับ



ผมเคยสัมภาษณ์คนจะมาเป็นโปรแกรมเมอร์ เชื่อไหมครับว่าเจอแบบนี้

1. ส่วนมาก บอกว่าทำเว็บได้ ใช้ application ได้ ไช้พวก visual ได้ แต่พอถามว่า nomalisation ควรเป็นอย่างไร พื้นมากๆ เลย ตอบตามหนังสือก็น่าจะได้ บอกให้เห็นหน่อยว่าเข้าใจ ปรากฏว่า จาก 30 คนที่ถาม มี 2 คนเท่านั้นที่ตอบได้



2. ไม่เห็นความสำคัญของ project life-cycle ไม่สนใจเรื่อง feasability study รู้แต่ว่าจะทำโปรแกรมให้เท่านั้น ไม่สนใจความต้องการของลูกค้า หลายคนนี่หนักเลยครับ คิดว่าลูกค้ามีความรู้น้อย ต้องทำตามความต้องการของเรา



3. มีภาวะการพึ่งพาสูง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ทำงานเป็นทีมไม่เป็น ไม่สู้งานหนัก ที่สำคัญคือเข้าใจว่าการใช้เทคโนโลยีล่าสุดคือการก้าวตามยุคสมัยแล้ว



4. สำคัญมาก ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นใช้การไม่ได้เลย น่าเป็นห่วงมากครับ เขียนรายงานก็ไม่ได้ ทำ teachnical support ให้ลูกค้าฝั่งก็ไม่ได้



5. สำคัญมากครับ ขาด service-mind และ public-mind....

เฟสบุ๊ค


facebook คืออะไร

หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินชื่อ facebook ว่าเป็น social network ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งถ้าในต่างประเทศ ความยิ่งใหญ่ของ facebook มีมากกว่า Hi5 เสียอีก แต่ในประเทศไทยของเรา Hi5 ยังครองความเป็นเจ้าในด้าน social network ในหมู่คนไทย แต่อย่างไรก็ตาม เราลองมาดูประวัติของ facebook กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร
ประวัติ facebook
facebook-logoเมื่อวันที่ 4 กุม� าพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเ� ท social network ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook จึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง
ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์ ได้ย้ายออกไปที่ Palo Alto ในช่วงฤดูร้อนและไปขอแบ่งเช่าอพาร์ทเมนท์ แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ มาร์คได้เข้าไปคุยกับ ชอน ปาร์คเกอร์ (Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน ปาร์คเกอร์ก็ย้ายเข้ามาร่วมทำงานกับมาร์คในอพาร์ตเมนท์ โดยปาร์คเกอร์ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ
ด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคน ทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook โดย friendster พยายามที่จะขอซื้อ facebook เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกลางปีพ.ศ. 2548 แต่ facebook ปฎิเสธข้อเสนอไป และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก Accel Partners เป็นจำนวนอีก 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในตอนนั้น facebook มีมูลค่าจากการประเมินอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
facebook ยังเติบโตต่อไป จนถึงเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดในโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าร่วมใช้งานได้ และในเดือนถัดมา facebook ได้เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ โดยสามารถให้สมาชิก เอารูป� าพมาแบ่งปันกันได้ ซึ่งฟังชั่นนี้ได้ัรับความนิยมอย่างล้นหลาม ในฤถูใบไม้ผลิ facebook� ได้รับเงินจากการลงทุนเพิ่มอีกของ Greylock Partners, Meritech Capitalพร้อมกับนักลงทุนชุดแรกคือ Accel Partners และ ปีเตอร์ ธีล เป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการประเมินมูลค่าในตอนนั้นเป็น 525 ล้านเหรียญ หลังจากนั้น facebook ได้เปิดให้องค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใช้งาน facebook และสร้าง network ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในที่สุดก็องค์กรธุรกิจกว่า 20,000 แห่งได้เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายในปีพ.ศ. 2550 facebook ก็ได้เปิดให้ทุกคนที่มีอีเมล์ ได้เข้าใช้งาน ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไป ไม่ว่าเป็นใครก็สามารถเข้าไปใช้งาน facebook ได้เพียงแค่คุณมีอีเมล์เท่านั้น
ในช่วงฤดูร้อนปี 2550 ครั้งนั้น Yahoo พยายามที่จะขอซื้อ facebook ด้วยวงเงินจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่ามาร์คได้ทำการตกลงกันด้วยวาจาไปแล้วด้วยว่า จะยอมขาย facebook ให้กับ Yahoo และเพียงแค่สองสามวันถัดมา หุ้นของ Yahoo ก็ได้พุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว แต่ว่าข้อเสนอซื้อได้ถูกต่อรองเหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มาร์คปฎิเสธข้อเสนอนั้นทันที � ายหลังต่อมา ทาง Yahoo ได้ลองเสนอขึ้นไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาร์คปฎิเสธ Yahoo ทันที และได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีว่า ทำธุรกิจเป็นเด็กฯ ไปในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คปฎิเสธขอเสนอซื้อบริษัท เพราะเคยมีบริษัท Viacom ได้เคยลองเสนอซื้อ facebook ด้วยวงเงิน 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกปฎิเสธไปแล้วในเดือนมีนาคมปี 2550
มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าจะ่มีข้อพิพาทอย่างนี้เกิดขึ้น การเติบโตของ facebook ก็ยังขับเคลื่อนต่อไป ในฤดูใบไม่ร่วงปี 2551 facebook มีสมาชิกที่มาสมัครใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 200,000 คน ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ facebook มีสมาชิกมากถึง 50 ล้านคน โดย facebook มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 ล้านเพจวิวต่อเดือน จากวันแรกที่ facebook เป็น social network ของนักศึกษามหาวิทยาลัย จนวันนี้ สมาชิกของ facebook 11% มีอายุมากกว่า 35 ปี และสมาชิกที่มีอายุมากกว่า 30 ปีก็เข้ามาสมัครใช้ facebook กันเยอะมาก นอกเหนือจากนี้ facebook ยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดย 15% ของสมาชิก เป็นคนที่อยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งมีรายงานออกมาด้วยว่า ค่าเฉลี่ยของสมาชิกที่มาใช้งาน facebook นั้ินอยู่ที่ 19 นาทีต่อวันต่อคน โดย facebook ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูป� าพสูงที่สุดด้วยจำนวน 4 หมื่นหนึ่งพันล้านรูป
จากจำนวนสถิติเหล่านี้ ไมโครซอฟต์ได้ร่วมลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 1.6 % ในเดือนตุลาคม 2551 ทำให้มูลค่ารวมของ facebook มีมากกว่า 15,000 ล้านบาท และทำให้ facebook เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ในหมู่บริษัทอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ารายรับต่อปีเพียงแค่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลายฝ่ายได้อธิบายว่า การตัดสินใจของไมโครซอฟต์ในครั้งนี้ทำเพียงเพื่อที่จะเอาชนะ Google ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่จะขอซื้อ facebook ในครั้งเดียวกันนั้น
คู่แข่งของ facebook ก็คือ� MySpace, Bebo, Friendster, LinkedIn, Tagged, Hi5, Piczo, และ Open Social

แคปหมุ

การทำแคปหมู


 แคปหมู  เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือของประเทศไทย  ที่เป็นได้ทั้งของทานเล่น  หรือรับประทานกับอาหารอื่น ๆ ได้หลายชนิด  เช่น  แกงฮังเล  น้ำพริกอ่อง  แคบหมูที่ดีมีคุณภาพควรมีสีเหลืองสม่ำเสมอ  ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และสามารถเก็บไว้ได้นาน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน
       หนังหมูที่นำมาใช้ทำแคปหมู  ควรเป็นหนังส่วนสะโพก หรือกลางลำตัว  เพราะทำให้พองตัวได้ง่าย  อาจมีเนื้อหรือมันติดมาบ้างเล็กน้อย 



  ขั้นตอนการทำแคปหมู
       ล้างหนังหมูให้สะอาด  ขูดขนจากหนังหมูออกจนหมด แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดกว้าง ประมาณ  1-5  เซนติเมตร  ยาว  8-15  เซนติเมตร  หรือจะใช้หนังหมูทั้งแผ่น ซึ่งมีขนาดใหญ่ จะต้องกรีดหนังหมูเป็นร่องหรือตาราง  เพื่อให้หนังหมูได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
       นำหนังหมูไปตากแดดประมาณ  1  วัน  บนกระด้งที่สานห่าง ๆ  จากนั้นนำหนังหมูไปใส่หม้อ  เพื่อเคี่ยวในน้ำมันโดยใช้ไฟอ่อน ๆ  ประมาณ  2  ชั่วโมง จนหมูพองออกมาเป็นเม็ด ๆ
       การเคี่ยวเพื่อลดความชื้น ต้องหมั่นคนหนังหมูเพื่อให้หนังหมูได้รับความร้อนโดยทั่วถึง  และให้ความชื้นกระจายอย่างสม่ำเสมอ  อุณหภูมิไม่สูงมาก เพราะจะทำให้หนังหมูแห้งและแข็งกระด้างเกินไป
       ทิ้งหนังหมูไว้  2-3  วัน  แล้วนำไปทอดในกระทะที่ร้อนจัด  น้ำมันสูงท่วมหนังหมู เมื่อหนังหมูพองตัวเต็มที่ ตักขึ้นพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน  คลุกเคล้าเกลือป่นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ



การจัดจำหน่าย
       ส่งขายตามร้านค้า  ร้านอาหารทั่วไป หรือจะขายเองก็ได้  แคปหมูเป็นการลงทุนต่ำ  ทำง่าย และขายง่าย  เพราะเป็นที่นิยมรับประทานกันโดยทั่วไป  จึงนับเป็นวิธีการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเป็นอย่างดี

เคล็ดลับ
       การทำแคปหมูให้อร่อย และน่ารับประทาน  ควรใช้หนังหมูส่วนสะโพก หรือกลางลำตัว  การทอดควรใช้ไฟให้เหมาะสม เก็บแคปหมูในภาชนะที่มีสีทึบ  พ้นแสง  ความชื้น  เพราะอาจทำให้เหม็นหืนได้













http://www.samutprakan.net/5800/WebarcheepNew/Food20.htm






วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธีทำสบู่


วิธีทำสบู่
How-to-Make-a-Bar-Soap
วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสบู่ก้อน
1. แม่พิมพ์สบู่
2. เทอร์โมมิเตอร์ (thermometer)
3. เครื่องชั่ง
4. เตาให้ความร้อน
5. ด่าง
6. น้ำ
7. ไขมัน
หลักการตั้งสูตรสบู่พื้นฐาน
มีวิธีการดังนี้
1.1    คัดเลือกไขมันที่ใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ  ตั้งสัดส่วนและปริมาณไขมันแต่ละชนิด
1.2    คัดเลือกชนิดด่าง  ตามวัตถุประสงค์ เช่น ต้องการทำสบู่ก้อนใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ ทำสบู่เหลวใช้
โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์เป็นต้น
1.3    คำนวณปริมาณด่างที่ใช้ในสูตรโดยนำน้ำหนักไขมันแต่ละชนิดมาคำนวณปริมาณด่างโซเดียมไฮดรอก-ไซด์ หรือโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ที่ใช้ แล้วเอามาคิดคำนวณปริมาณรวมกันดังตัวอย่าง
ตัวอย่างวิธีการคำนวณ
น้ำมันมะพร้าว 120  กรัม ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ 20.304 กรัม ( 16.92×120/100)
น้ำมันมะกอก   300 กรัม  ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ 37.38 กรัม   ( 12.46×300/100)
น้ำมันปาล์ม       80 กรัม  ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ 10.448 กรัม ( 13.06×80/100)
รวมไขมัน         500 กรัม  ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ 68.132 กรัม
วิธีการผลิตสบู่พื้นฐาน
1         เตรียมแม่พิมพ์สบู่
2         ชั่งด่างตามปริมาณที่ได้จากการคำนวณอย่างระมัดระวัง
3         ชั่งน้ำที่ใช้ ค่อยๆเติมด่างลงในน้ำอย่างช้าๆ คนจนละลายหมด วัดอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส
4         ชั่งไขมันทั้งหมดผสมรวมกัน  วางบนเครื่องอังไอน้ำ วัดอุณหภูมิ ประมาณ 60 องศาเซลเซียส เพื่อให้ใกล้เคียงกับ 3.
5         ค่อยๆเทน้ำด่างลงในไขมัน คนเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ
6         นำส่วนผสมอื่นๆ เช่น น้ำมันหอมระเหย ผสมลงไปและคนจนเข้ากันดี เนื้อของเหลวเป็นสีขุ่น จึงเทลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้
7         ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์  และ 1 เดือน จึงตรวจสอบ pH และนำไปวิเคราะห์
ข้อควรระวังในการผลิตสบู่
1   เพื่อความปลอดภัยของผู้ผลิต ควรสวมถุงมือยาง เสื้อคลุมที่สามารถปกปิดร่างกายได้ รวมทั้งควรสวมแว่นตาขณะที่ผลิตสบู่
2   เลือกใช้เครื่องชั่งที่เหมาะสม โดยใช้เครื่องชั่ง 4 ตำแหน่งสำหรับการชั่งด่าง
3   สถานที่ผลิตควรมีอ่างน้ำ หรือถังใส่น้ำสะอาดประมาณ 10 ลิตร เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น น้ำด่างกระเด็นโดนผิวหนัง และในกรณีที่น้ำด่างกระเด็นโดนผิวหนังนั้นให้ราดผิวหนังบริเวณนั้นด้วยน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวเพื่อให้ความเป็นด่างลดลง แล้วให้ล้างด้วยน้ำเย็นอีกหลายๆครั้งจนกว่าไม่รู้สึกคันและแสบร้อน
4   อุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ ห้ามใช้วัสดุอลูมิเนียม ดีบุก สังกะสี หรือโลหะอื่นๆ นอกจากที่แนะนำเพราะโลหะเหล่านี้อาจทำปฏิกริยากับโซดาไฟเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้ได้
5   ในการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ ether หรือสารที่ระเหยและติดไฟง่าย ควรทำในตู้ควันเท่านั้นและระวังการติดไฟเป็นพิเศษ